วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

8 กีฬาช่วยหนุ่ม ๆ เพิ่มความสูง 

(Men's Health)

          ยุคนี้ความสูงเป็นหนึ่งในลักษณะทางกายภาพที่หลายคนต้องการไม่แพ้รูปร่างหน้าตาหรือบุคลิกภาพด้านอื่น ๆ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความสูงมีมากมายครับ และหนึ่งในนั้นก็คือ การออกกำลังกาย เพราะจะทำให้เกิดการยืดขยายแนวกระดูกออกในแนวตั้ง และช่วยกระตุ้นการหลั่งของ Human Growth Hormone (HGH) จากต่อมใต้สมอง และฮอร์โมน Insulin-like Growth Factor ซึ่งกีฬาที่ช่วยเพิ่มความสูงให้กับวัยรุ่นมีดังนี้

           แทรมโบลีน เป็นอุปกรณ์สำหรับการฝึกกระโดดขึ้น-ลง ตัวอุปกรณ์มีลักษณะเป็นเส้นใยที่ทอขึ้นมาเป็นพิเศษ แล้วยึดติดกับฐานของอุปกรณ์อย่างแข็งแรงทุกด้าน เพื่อรองรับแรงจากการกระโดดของผู้เล่น การกระโดดบนแทรมโปลีนจะช่วยให้เกิดการยืดของกล้ามเนื้อ และกระดูกในแนวตั้ง โดยเฉพาะช่วงขาอย่างแท้จริง แนะนำให้กระโดด 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ครั้งละ 20-30 นาที

กระโดดเชือก
           กระโดดเชือก เป็นการออกกำลังการแบบคาร์ดิโอที่ส่งผลดีต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต และยังสามารถช่วยกระตุ้นความสูงผ่านแรงกระแทกที่ส่งมาจากฝ่าเท้าโดยตรง

           โหนบาร์ โดดเด่นตรงที่ทำให้กระดูกสันหลังตรงและสามารถยืดยาวออกไป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่อายุยังน้อย เพราะทำได้ง่ายและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

โยคะ
           โยคะ โยคะแต่ละท่าย่อมส่งผลต่อกระดูกและกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันออกไป เช่น ท่ายืดขา ก็จะช่วยยืดกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้าง หรือท่างูจงอาง ที่ช่วยยกลำตัวขึ้นจากพื้น โดยคุณต้องนอนคว่ำให้ลำตัวและหน้าอกขนานแตะพื้น จากนั้นใช้แขนสองข้างยันพื้นพร้อมยกเฉพาะลำตัวขึ้นค้างไว้ ท่านี้จะช่วยยืดกล้ามเนื้อลำตัวช่วงบน

ว่ายน้ำ
           ว่ายน้ำ โดยเฉพาะท่าฟรีสไตล์จะคล้าย ๆ กับการยืดกล้ามเนื้อบริเวณลำตัว คล้ายการเล่นโยคะท่างู แต่ความต่างก็คือการว่ายน้ำจะทำให้ร่างกายแทบทุกส่วนได้ออกกำลังไปพร้อมกัน

บาสเกตบอล
           บาสเกตบอล เป็นกีฬาอีกชนิดที่มีการผสมผสานระหว่างการวิ่งก้าวกระโดดและยืดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นผลดีต่อการกระตุ้นความสูง แต่อย่างไรก็ตาม กีฬาประเภทนี้อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย จึงควรเล่นด้วยความระมัดระวัง

           พิลาทีส เป็นการออกกำลังที่ช่วยเพิ่มความยาวของร่างกายทั้งช่วงบนและล่าง สำหรับผู้ที่หยุดสูงแล้ว พิลาทีส อาจจะช่วยยืดกระดูกเฉพาะช่วงบนเท่านั้น สำหรับช่วงล่างอาจจะต้องใช้วิธียืดกระดูกอื่น ๆ ร่วมด้วย

           คิกบ็อกซิ่ง รวมถึงกีฬาประเภทต่อสู้อื่น ๆ มักจะช่วยยืดกระดูกช่วงแขนขาหากเล่นเป็นประจำ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นนักกีฬาประเภทนี้มีแขนขายาวกว่าช่วงลำตัว
แหล่งที่มา:http://men.kapook.com/view90980.html

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สมุนไพรไทยกับโรคความดันสูง
โรคความดันโลหิตสูง เป็นอีกหนึ่งโรคยอดนิยมที่คนจำนวนมากมักป่วยกันและมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรักษาโรคนี้นั้นนอกจากจะรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันและการทานยาควบคู่ไปแล้วนั้น ยังสามารถรักษาได้ด้วยการทานอาหารและการทานสมุนไพรของไทยได้อีกด้วย แถมสมุนไพรที่ว่านี้ หาซื้อได้ง่าย ทานง่าย และไม่ต้องผ่านวิธีการทำที่ยุ่งยาก
สมุนไพรไทยกับโรคความดันสูง thaihealth
ซึ่งสมุนไพรไทยรักษาความดันโลหิตสูงนั้นจะมีอะไรบ้าง และต้องรับประทานอย่างไร ไปดูกันเลย
 1. กระเทียม : อาจารย์คาริน รีด อาจารย์ประจำคณะแพทย์เวชทั่วไป แห่งมหาวิทยาลัยอเดเลด ออสเตรเลีย พบว่า สารสกัดจากกระเทียมสามารถลดความดันโลหิตลงได้ แต่ควรเป็นหัวกระเทียมแก่ เพราะหากเป็นกระเทียมอ่อนหรือกระเทียมที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว จะได้สรรพคุณไม่เทียบเท่ากับหัวกระเทียมแก่
 2. ใบกะเพรา : คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้แนะนำให้ผู้ที่มีความดันสูงรับประทานใบกะเพราเป็นประจำ ซึ่งการรับประทานใบกะเพรามีหลากหลายวิธี ตั้งแต่การนำใบมาเคี้ยวรับประทานสดๆ, นำไปคั้นแล้วผสมกับน้ำอุ่นดื่ม, นำไปตากแห้งเหมือนใบชาแล้วนำมาชงผสมกับชาและดอกคาโมมายด์ หรือจะนำไปผัดกับเนื้อสัตว์แล้วรับประทานเป็นกับข้าวก็ล้วนได้ประโยชน์
 3. กระเจี๊ยบแดง : เนื่องจากในกระเจี๊ยบแดงมีสารแอนโธไซยานิน (anthocyanins) ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะไปช่วยเสริมสร้างให้หลอดเลือดแข็งแรง วิธีรับประทานกระเจี๊ยบก็เพียงนำกลีบเลี้ยงของดอกกระเจี๊ยบไปตากแห้ง แล้วนำมาบดชงดื่มวันละ 3 ครั้ง เป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้
 4. บัวบก : น้ำใบบก นอกจากจะช่วยแก้อาการช้ำในได้แล้ว ยังมีคุณประโยชน์อีกมากมาย โดยเฉพาะสรรพคุณในการลดความดัน โดยกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำว่าการดื่มน้ำใบบัวบกเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ความดันโลหิตลดลงได้ แถมเจ้าบัวบกนี้ยังช่วยทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ช่วยคลายเครียดได้ ซึ่งความเครียดนั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความดันโลหิตสูง
 5. ตะไคร้ : นอกจากจะมีสรรพคุณในการขับปัสสาวะและขับลมแล้ว ยังช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วย และกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยบรรเทาอาการปวดหัวที่เนื่องมาจากความเครียดได้ และที่สำคัญตะไคร้ยังเป็นพืชสมุนไพรที่หาง่ายและสามารถปลูกเป็นพืชผักสวนครัวได้
 6. ขึ้นฉ่าย : ขึ้นฉ่าย เป็นสมุนไพรที่ชาวเอเชียนำมาใช้เป็นยาลดความดันโลหิตต่อเนื่องกันมายาวนานกว่า 2,000 ปี โดยชาวจีนและเวียดนามเชื่อว่าการรับประทานขึ้นฉ่ายวันละ 4 ต้น จะทำให้ความดันโลหิตเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยขึ้นฉ่ายกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าขึ้นฉ่ายมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต คุมกำเนิด ยับยั้งมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้อีกด้วย
7. ฟ้าทะลายโจร : เป็นสมุนไพรที่มากสรรพคุณจนคนที่เคยไม่ชอบมัน อาจจะเปลี่ยนความคิดได้ โดยเฉพาะสรรพคุณในการลดความดันโลหิต ซึ่งสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรและพบว่า สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิต ช่วยในการขยายตัวของหลอดเลือด และลดอัตราการเต้นของหัวใจไม่ให้เร็วจนเกินไป
 8. ขิง : เป็นสมุนไพรโบราณที่นำมาใช้ในการรักษาโรคมากกว่า 5,000 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยย่อยอาหาร แต่ยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย ที่สำคัญควรใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากขิงเป็นพืชที่มีฤทธิ์ร้อน หากรับประทานมากไปอาจจะทำให้เกิดร้อนในและแผลในกระเพาะอาหารได้ นอกจากนี้ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีและรับประทานยาละลายลิ่มเลือดควรปรึกษาแพทย์และระมัดระวังในการใช้
9. มะกรูด : มะกรูด เป็นสมุนไพรที่มากด้วยสรรพคุณทางยา แถมยังนิยมนำส่วนของใบและน้ำของผลมะกรูดมาใช้ในการทำอาหารอีกด้วย นอกจากนี้ เภสัชกรหญิงจุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก เภสัชกร 8 วช. ศูนย์บริการการสาธารณสุข ยังได้แนะนำเอาไว้ในหนังสือ สมุนไพรลดความดันโลหิตสูง ว่ามะกรูดมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาช่วยลดความดันโลหิดและช่วยต้านเชื้อแบคเรีย โดยการนำใบมะกรูด 7-10 ใบมาต้มน้ำ ดื่มเช้าเย็นเป็นประจำทุกวันก็จะช่วยให้ความดันโลหิตเป็นปกติได้
10. อบเชย : อบเชย สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมหวานชนิดนี้ มีการวิจัยในญี่ปุุ่นพบว่ามันมีสรรพคุณในการช่วยลดความดันโลหิต โดยการนำผงอบเชยสำเร็จรูปหรือนำอบเชยมาบดให้เป็นผงชงกับน้ำ ดื่มเช้า เย็น และก่อนนอน นอกจากนี้อบเชยยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
สมุนไพรลดความดัน แม้ว่าจะดีต่อการลดระดับความดันโลหิตในร่างกายและช่วยรักษาสุขภาพของหลอดเลือดให้แข็งแรงแล้ว แต่ก็ควรเลือกรับประทานอย่างระมัดระวัง เพราะสมุนไพรบางชนิดอาจส่งผลต่อร่างกายได้หากใช้ไม่ถูกต้อง และเพื่อให้เป็นผลดีที่สุดต่อร่างกาย คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะเริ่มนำสมุนไพรเหล่านี้มาช่วยในการลดความดันโลหิต

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
นำมาจาก:http://www.thaihealth.or.th/Content/29026-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ภาวะโลกร้อน Global Warming

ภาวะโลกร้อน Global Warming



http://hilight.kapook.com/img_cms2
/News%202/65569792.jpg

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หมายถึง การที่อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศบนโลกสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอากาศบริเวณใกล้ผิวโลกและน้ำในมหาสมุทร ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 0.74 ? 0.18 องศาเซลเซียส และจากแบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศพบว่าในปี พ.ศ. 2544 – 2643 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็เพราะว่าก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญถ่านหินและเชื้อเพลิง รวมไปถึงสารเคมีที่มีส่วนผสมของก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ใช้ และอื่นๆอีกมากมาย จึงทำให้ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปในปริมาณที่เหมาะสม กลับถูกก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้กักเก็บไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกค่อยๆสูงขึ้นจากเดิม
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนนั้นก็มีให้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ สภาพลมฟ้าอากาศที่ผิดแปลกไปจากเดิม ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุที่รุนแรง อากาศที่ร้อนผิดปกติจนมีคนเสียชีวิต รวมไปถึงโรคระบาดชนิดใหม่ๆ หรือโรคระบาดที่เคยหายไปจากโลกนี้แล้วก็กลับมาให้เราได้เห็นใหม่ และพาหะนำโรคที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ในอนาคตคาดว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเราสามารถช่วยกันลดภาวะโลกร้อนได้หลายวิธี หลักๆก็เห็นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด เพราะว่าพลังงานที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้กว่าจะมาถึงให้เราได้ใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนในการผลิตมากมาย และแต่ละขั้นตอนก็จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา เพราะฉะนั้นการลดใช้พลังงานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในการเดินทางใกล้ๆ และอื่นๆอีกมากมาย
การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ อย่างที่เรารู้กันดีว่าในเวลากลางวัน ต้นไม้นั้นจะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเราโดยแท้ แต่ทว่าปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ฉะนั้นถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ก็เหมือนกับช่วยเพิ่มเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเรา
แหล่งที่มา http://www.greentheearth.info/